หลังจากสร้างความไฮป์มานาน ในที่สุด “Statfield” เกม Open-World ไซไฟตะลุยอวกาศ สำรวจจักรวาล ผลงานสุดอลังการเกมใหม่ ที่ส่งตรงจาก Bethesda ผู้พัฒนาที่เกมเมอร์หลายคนให้ความไว้วางใจ ก็ได้วางจำหน่ายให้เกมเมอร์ได้เล่นกันไปแล้วนะครับ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2023 ที่ผ่านมา ซึ่งถ้ามองดูผลตอบรับจากเกมเมอร์ ก็นับว่า ไม่ได้มีอะไรผิดคาดไปจากที่คาดไว้ครับ สามารถสร้างความประทับใจให้เกมเมอร์หลายกลุ่มได้ในระดับที่ดี ได้รับคะแนนรีวิวจากสื่อใหญ่ ๆ ไปในเกณฑ์ที่ดีมาก ..แต่ก็แอบมีความเห็นบางส่วนเหมือนกันที่มองว่า มันเป็นเกมที่มีขนาดใหญ่โต แต่กลับไม่มีชีวิตชีวามากเท่าที่ควรจะเป็น เป็นความใหญ่โต แต่แห้งแล้งอารมณ์ไปนิด จนมันดูเหมือนเป็น Mass Effect: Andromeda ไปอีกเกม ..แต่ในภาพรวม Starfield ก็เป็นเกมที่อยู่ในขั้นที่ดี แต่อาจจะยังไม่สามารถสร้างปรากฏการณ์ฮิตถล่มทลายระดับมหาชน แบบเดียวกับที่ The Elder Scrolls หรือ Fallout เคยทำได้ (ณ ขณะนี้นะครับ ในอนาคตยังตอบไม่ได้ ต้องดูพัฒนาการของเกมกันไปอีกยาว ๆ ) ทีนี้ พอมีเสียงตอบรับในเชิงแง่ติติงจากเกมเมอร์ พ่วงเข้ามากับเสียงชื่นชมแบบครึ่งต่อครึ่งแบบนี้ นั่นหมายความว่า เราก็อาจจะพูดได้นะครับว่า “Starfield อาจจะไม่ใช่เกมสำหรับทุกคน” มันมีกลิ่นอายแบบเฉพาะตัว ที่ค่อนข้างเลือกคนเล่น แม้ว่าระบบหลัก ๆ ของเกม มันจะชวนดึงดูดเกมเมอร์โดยทั่วไปอย่างมาก แต่อะไรหลาย ๆ อย่างของเกม ต้องยอมรับเลยครับว่า มันมีความ “เฉพาะทาง” พอสมควรจริง ๆ เลยนำมาซึ่งประเด็นที่น่าสนใจว่า ถ้าอย่างนั้น Starfield จะเหมาะกับผู้เล่นแบบไหนบ้าง? คราวนี้เราเลยขอมา แนะแนวทางกันคร่าว ๆ ครับ เพื่อให้คนที่สนใจอยากเล่น ได้ทราบกันก่อน ว่าตัวเองกำลังจะเจอเกมแนวไหน เพื่อจะได้รู้ตัวว่า ตัวเองเหมาะกับเกมนี้จริง ๆ โดยไม่ต้องรู้สึกอกหัก เมื่อได้เล่นเอง
1. เกมเมอร์ที่ชอบเกมแนวผจญภัยอวกาศแนวสมจริง มากกว่าเน้นไซไฟแฟนตาซี
Starfield มีจุดเด่นของตัวเองที่แตกต่างไปจากเกมแนวอวกาศเกมอื่น ๆ อย่างชัดเจน ก็คือ ความเป็นเกมไซไฟ ในแนวทางแบบ “Nasa-Punk” หรือแนวไซไฟที่ยึดภาพลักษณ์และเทคโนโลยี ในแนวทางที่สมจริง ยึดอยู่กับการออกแบบที่เป็นไปได้ (ชุดอวกาศหนา ๆ ใหญ่ ๆ ที่ดูคำนึงถึงฟังก์ชันการใช้งานที่ดูเป็นไปได้) ภายใต้กรอบเทคโนโลยีที่ดูมาจาก “มนุษย์” เป็นหลัก ปมเรื่องราวต่าง ๆ ก็เป็นเรื่องความขัดแย้งของมนุษย์กันเอง รวมถึงสภาพแวดล้อม รูปแบบชีวิตบนดวงดาวต่าง ๆ ก็ยึดตามความสมเหตุสมผลด้านทฤษฎี ทำให้เกมมีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ ถ้าใครชอบอะไรแนวนี้ หรืออยากเปลี่ยนรสชาติจากแนวไซไฟแฟนตาซีที่เคยเล่นมา Starfield มีทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการแน่นอน
2. เกมเมอร์ที่ต้องการเกม Single Player ขนาดใหญ่ แบบเล่นคนเดียว
ถือเป็นเรื่องหายากในเกม Open-World สมัยนี้นะครับ คือ Starfield เป็นเกมที่เน้นโหมดเนื้อเรื่องแบบ Single Player ที่ไม่มีคอนเทนต์ผู้เล่นหลายคนเลย ไม่มีโหมด Multiplayer ไม่มีการเล่นแบบ Co-op ไม่มีการพบเจอกันของผู้เล่น ผู้เล่น Starfield จะได้อยู่ในการผจญภัยของตัวเองล้วน ๆ ด้วยแผนที่ขนาดใหญ่มาก มีดวงดาวมากมายให้เราสำรวจ แต่ละดวงจะมีสภาพแวดล้อม รูปแบบชีวิต ที่แตกต่างกันไป รวมถึงยังมี Colony หรือสถานีอวกาศอีกมากมาย ทำให้เกม Starfield เหมาะมากสำหรับคนที่อยากดื่มด่ำ ผจญภัยอยู่ในเกมของตัวเอง คุณสามารถบินไปไหนต่อไหน ทำอะไรที่ไหนก็ได้ แต่ด้วยความใหญ่ของเกม อีกมุมหนึ่ง หลายคนก็อาจจะรู้สึกว่า มันดูว่างเปล่า อ้างว้าง โล่งโถง ไปหมด แต่ถ้าใครชอบเกมที่ใหญ่จนประเมินขอบเขตไม่ได้ แถมมันยังเป็นโลกของเราแต่เพียงผู้เดียว Starfield น่าจะเป็นเกมในฝันของคุณได้เลย
ใครชอบความ “เยอะ” ของระบบเกม Starfield ถือว่าสมใจเลยครับ ในฐานะเกมที่มีรายละเอียดทุกอย่างสูงหมด ทุกอย่างสามารถปรับแต่งและจัดการด้านทรัพยากรได้เยอะมาก ตั้งแต่การปรับแต่งตัวละครของเรา ที่ทำได้อย่างอิสระทุกรายละเอียด, ระบบการปรับแต่งยานอวกาศที่ทำได้ราวกับต่อโมเดล ฯลฯ โดยทุก ๆ รายละเอียดจะส่งผลต่อกันและกันเป็นระบบ ยิ่งบวกเข้ากับจำนวนดวงดาวมากมายที่สามารถลงไปสำรวจและค้นพบอะไรใหม่ ๆ ได้ตลอด นี่จึงถือเป็นเกมที่มีรายละเอียดชวนให้ติดพันจริง ๆ แต่ถ้าใครไม่ชอบการต้องจัดการกับข้อมูลที่เยอะขนาดนี้ เราขอเตือนเลยครับว่า คุณอาจจะไม่สนุกกับเกมไปเลย เพราะคุณจะได้เจอรายละเอียดมากมายถาโถมเข้ามา ตั้งแต่ตอนที่เริ่มเกมเลย
อันนี้ว่าด้วยเรื่องของ “ด้วยรักและศรัทธา” ที่มีต่อผู้พัฒนานั่นเอง ในฐานะเกมแนว Open-World ที่มาจากทีม Bethesda ทำให้เกมเมอร์หลายคน มักจะเรียก Starfield แบบขำ ๆ ว่าเป็น “Skyrim เวอร์ชั่นตะลุยอวกาศ” เพราะระบบการเล่าเรื่อง การสร้างตัวละคร การปฏิสัมพันธ์กับตัวละคร ทางเลือกในการทำเควสต์หลักและรอง ไปจนถึงระบบตัวเลือกศีลธรรม ที่ทุกอย่างจะดำเนินแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่เร่งเร้า เน้นให้คนเล่นซึมซับเข้าไปในโลกของเกมอย่างช้า ๆ ซึ่งมันคือเกม Open-World ในสไตล์แบบ Bethesda เด๊ะ ๆ เลยต้องยอมรับว่า เกมค่อนข้างดึงความสนใจ ของคนที่ขอบเกมของ Bethesda อยู่แล้วเป็นพิเศษ ในขณะที่เกมเมอร์ ที่ไม่เคยเล่น The Elder Scrolls หรือ Fallout มาก่อนเลย ก็อาจจะต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจค่อนข้างมาก ถึงจะเริ่มรู้สึกคุ้นมือ
เหมือนจะไม่สำคัญ แต่เราหมายความว่าแบบนี้จริง ๆ คือในฐานะเกม Exclusive จาก Microsoft ที่ลงให้กับเรื่อง Xbox Series X/S และบน PC เท่านั้น ทำให้ถ้ามองในแง่ความเป็น Exclusive ประสบการณ์ของ Starfield ก็ยังนับว่าเป็นอะไรที่ไม่ควรมองข้ามไปเลยครับ ถือเป็นการโชว์ศักยภาพของเครื่อง Xbox Series X/S ไม่ใช่แค่เรื่องของกราฟิกเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของ วิสัยทัศน์ ในการสร้างเกมที่เป็น “เมกะโปรเจกต์” ของเครื่องด้วย จริงอยู่ที่ ณ ตอนนี้ มันอาจจะยังไม่ได้สมบูรณ์ไปทุกอย่าง แต่ทุกความยิ่งใหญ่ย่อมมีต้องก้าวผ่านอุปสรรค เพื่อพิสูจน์ตัวเองอยู่แล้ว (และถ้ามันประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ มันอาจถูกพอร์ตไปลงเครื่องของทางฝั่ง PlayStation ด้วยก็เป็นได้ เพราะทาง Bethesda ก็ไม่ได้ปิดกั้นว่ามันจะเป็นไปไม่ได้) ทั้งหมดนี้คือความคิดเห็น ที่เรามาแนะแนวให้ทุกคนได้พอวิเคราะห์กันได้ว่า คุณเป็นเกมเมอร์แนวไหนกันบ้าง และจะสามารถสนุกกับเกมแบบ Starfield กันได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งถ้าใครจะมีเหตุผลที่นอกเหนือไปจากนี้ ก็ถือเป็นวิจารณญาณส่วนตัวของแต่ละคนเลยครับ เพราะไม่แน่ เกมที่เราคิดว่า คงไม่เหมาะกับเราแน่ ๆ อาจจะเป็นเกมที่เล่นสนุกมากกว่าที่คิดก็ได้ ไม่ว่ายังไง Starfield ก็ถือเป็นเกมระดับ AAA ที่สมควรได้รับการจับตามองไปในระยะยาวครับ เพราะในแง่การสร้างจักรวาลขึ้นมา เพื่อรองรับความเป็นไปได้ในอนาคต เกมก็ยังทำได้สมราคาของ Bethesda ถ้าใครอยากจะเป็นส่วนหนึ่งของเกมเมอร์ ที่เฝ้าดูพัฒนาการของเกมนี้ ก็ลองซื้อมาพิสูจน์กันเองดูได้เลยครับ
บทความโดย SHODAN
ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
อินบ็อกซ์เพจ: m.me/happyconsole
ไลน์ไอดี: @happyconsole
เว็บไซต์: happyconsole.com
อินสตาแกรม: bit.ly/2kuFVpT
แฮปปี้คอนโซล (หน้าชิงช้าสวรรค์ยักษ์) เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์
แฮปปี้คอนโซล (ชั้น 3) เทอร์มินอล 21 พระราม 3
เปิดบริการทุกวันเวลา 10.00 - 21.00 น.
อัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับเกมส์ “คลิกที่นี่”