หลังจากปล่อยให้แฟน ๆ รอกันมานานพอสมควร ในที่สุด ซีรีส์เกมต่อสู้สุดโหดในดวงในใครหลายคน ก็ได้เวลากลับมาอีกครั้งจริง ๆ แล้ว กับการนับหนึ่งใหม่ของซีรีส์อีกครั้ง ในชื่อ “Mortal Kombat 1” และนับเป็นภาคฉลอง 30 ปีของเกม Mortal Kombat อีกด้วย เป็นอีกหนึ่งเกมที่เดินทางมายาวนานมาก ตั้งแต่ยุคเกมตู้อาเขด 16 บิท มาจนถึงยุคปัจจุบัน การกลับมาของ Mortal Kombat ในภาคนี้ จะสมการรอคอยของคอเกมไฟติ้งมากแค่ไหน มาอ่านรีวิวของเรากันได้เลยครับ!
Mortal Kombat 1 จะเล่าเรื่องต่อเนื่องมาจากภาคที่แล้วอย่าง Mortal Kombat 11 เมื่อ ลูแคง (Liu Kang) ผู้กลายเป็นเทพแห่งไฟ ผู้ครอบครองพลังของ นาฬิกาทรายแห่งกาลเวลา (The Hourglass) ที่มีพลังในการสรรค์สร้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ ได้ทำการรีสตาร์ทจักรวาลใหม่อีกครั้ง เพื่อสร้าง ยุคสมัยใหม่ (New Era) ที่ทุกอย่างมีแต่ความสงบสุข ทุกชีวิตสามารถลิขิตเส้นทางของตนเอง แต่แล้วก็ได้มีภัยร้ายครั้งใหม่ จากศัตรูที่ลูแคงไม่ทันได้คาดคิด กำลังจะมาทำลายยุคสมัยแห่งความสงบสุขนี้ลง! ทำให้ลูแคงต้องรวบรวมเหล่าผู้กล้า ทั้ง เอิร์ธเรียล์ม (Earthrealm) และ เอาท์เวิลด์ (Outworld) เพื่อปกป้องความสงบสุขของทั้งจักรวาลอีกครั้ง ก่อนจะสายเกินไป
แต่ถึงนี่จะเป็นภาคที่รีบู้ทใหม่ แต่เราก็ขอแนะนำให้ต้องเล่นเกมภาคเก่า ๆ มาก่อนนะครับ เพราะเกมยังคงใช้จุดเชื่อมโยงบางอย่างจากเกมตั้งแต่ภาค MK2011, Mortal Kombat X จนถึง MK11 อยู่หลายช่วงมาก แต่ถึงแม้จะไม่เคยเล่น ก็ไม่มีอะไรให้ต้องงง เพราะเกมจะคอยอธิบายทุกสิ่งทุกอย่างตลอดอยู่แล้ว แต่เพื่อความอิน กลับไปเล่นก่อนน่าจะดีกว่า
Gameplay (ระบบการเล่น)
มาดูส่วนสำคัญที่แท้จริงของเกมอย่างระบบการเล่นกันครับ ในภาคนี้ ถือว่าค่อนข้างบาลานซ์การเล่นในแบบเกม MK คลาสสิก กับ MK แบบสมัยใหม่ เข้าด้วยกันอย่างลงตัวเลยทีเดียว สำหรับเกมในยุคใหม่ แฟน ๆ หลายคนมักจะบ่นกันเยอะว่า เกมมีการนำเสนออะไรใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ แต่มันก็ทำให้เกมเพลย์ดูวุ่นวายเกินความจำเป็นไปนิด อย่างใน MKX เกมจะมีระบบ “Variations” ให้เราสามารถเลือกสไตล์การต่อสู้ที่แตกต่างกันใน 1 ตัวละครได้เป็น Presets 3 แบบ ใน MK11 ก็กลายเป็นระบบ “Kustom Variations” ที่ให้เราสามารถปรับแต่ง Loadout ตัวละครได้แบบอิสระตามใจ ตั้งแต่ moveset ยันท่า Intro-Outro เลย สำหรับคนที่ชอบเล่นเกมไฟติ้งแบบเอามันตะบันจอย อาจจะรู้สึกว่ามันดู “เยอะ” เกินไปนิด
ทำให้ใน MK1 ผู้พัฒนาดูจะหาจุดลงตัวให้กับระบบปรับแต่งแบบนี้ ให้สามารถเข้ามือได้กับผู้เล่นทุกระดับแล้วครับ กับระบบที่เรียกว่า “Kameo Fighter” นั่นเอง โดยจะเป็นระบบการเลือกตัวละคร Assists เข้ามาเป็นคู่หูกับตัวละครที่เราเลือกเป็นตัวหลัก เราสามารถเรียกออกมาใช้ระหว่างต่อสู้เมื่อไหร่ก็ได้ (มีจังหวะ Kool Down อยู่ แต่ก็แป๊บเดียวเท่านั้น) ซึ่ง Kameo แต่ละตัวจะมีจุดเด่นในการใช้งานไม่เหมือนกัน ซึ่งสามารถใช้งานได้ทั้งแบบ Offensive และ Defensive ผู้เล่นสามารถเลือกตัวหลักและ Kameo เพื่อผสาน Movetset ของทั้ง 2 ตัวเข้าด้วยกันได้ ซึ่งมันก็คือระบบ Variations จาก MKX นั่นเอง แต่เป็นการย่อยให้เลือกเล่นได้ง่าย และเข้าใจได้ง่ายกว่า ด้วยระบบการจับคู่แบบง่าย ๆ
ส่วนระบบหลัก ๆ ในการต่อสู้ โดยรวม เกมจะมีความหวือหวาในการออกท่ามากกว่า MK11 เช่นการทำ Air Kombo กลางอากาศได้ (จากที่ทำไม่ได้อีกเลยนับตั้งแต่ MK2011) ทำให้การต่อสู้ค่อนข้างจะมีอิสระกว่าเดิม ลูกเล่น Stage Gimmick อย่างการเอาของในฉากมาฟาดฝั่งตรงข้าม ภาคนี้ก็ทำไม่ได้แล้ว เน้นการต่อคอมโบล้วน ๆ จริง ๆ และด้วยการผูกระบบ Movetset เข้ากับระบบ Kameo Fighter ทำให้การเล่นกับผู้เล่นด้วยกันเอง จะเดาทางได้ยากพอสมควร บางที่เราอาจจะโดน Kombo Breaker จนสถานการณ์พลิกแบบงง ๆ ได้หลายครั้ง (ภาคนี้เวลาโดน Kombo Breaker มันจะมีเสียง “ชิ้งงง” ดังขึ้นมา เหมือนเกมช่วงยุค Deadly Alliance กับ Deception เอาใจแฟนรุ่นเก่าสุด ๆ) ทำให้นอกจากต้องศึกษาตัวละครแต่ละตัว ผู้เล่นต้องเรียนรู้สกิลของตัว Kameo ด้วย ว่าถ้าตัวนี้จับคู่กับตัวนี้ moveset มันน่าจะออกมาประมาณไหน? เป็นความท้าทายแบบไม่เน้นลูกเล่นการปรับแต่งใด ๆ แต่เน้นไปที่สกิลของผู้เล่นล้วน ๆ
และอีกจุดที่อยู่มาตั้งแต่ตอน MKX อย่างท่า “Brutality” ที่ให้เราได้เผด็จศึกศัตรูแบบกะทันหันระหว่างตอนเล่น ก็ยังคงรับประกันความบันเทิงเหมือนเดิม (ใครเจอ Brutality ตอนเล่นออนไลน์ครั้งแรกนี่ เชื่อว่ามีอ้าปากค้างกันทุกคน)
ซึ่งแต่ละช่องของแมพ ก็จะเป็นศูนย์รวมของเกมเพลย์มากมาย ทั้งมินิเกมคลาสสิกอย่าง “Test Your Might” หรือการทำ Challenge ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น สู้กับศัตรูตามเวลาที่กำหนด, ใช้ moveset ได้เฉพาะแค่ท่าใดท่าหนึ่ง ฯลฯ เพื่อแลกของรางวัล ทั้งเครื่องประดับ (Gears), สกิน (Skin) ไปจนถึงชุดสีของสกิน (Palette) นำไปใช้เล่นต่อในโหมดออนไลน์อีกที โดย Invasion Mode จะมาพร้อมกับเนื้อเรื่องประจำอีเวนท์ (Event) ที่จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ในทุกการอัปเดต (เหมือนเกมมือถือ) ทำให้เราสามารถเข้าไปเล่นในโหมดนี้ได้เรื่อย ๆ จะมีจุดให้ติงบ้างตรงที่ Challenge ใน Invasion Mode มันจะค่อนข้างซ้ำซาก และมีวน ๆ อยู่ไม่กี่อย่างเท่านั้น เล่นไปนาน ๆ อาจจะรู้สึกเบื่อได้ครับ เลยถือเป็นโหมดที่เอาไว้เก็บของได้แบบขำ ๆ หลังจากอิ่มมาแล้ว กับโหมดอื่น ๆ ก็ว่าได้
Graphics (กราฟิก)
ในด้านกราฟิก ความสวยงามของเกม บอกเลยครับว่า มีกี่ล้านคะแนน เอาไปเต็มได้เลย Mortal Kombat 1 ยังคงเป็นเกมไฟติ้ง ที่มีคุณภาพกราฟิกสวยมาก ๆ ทั้งรายละเอียดของตัวละคร ฉาก เอฟเฟกต์ต่าง ๆ ด้วยพลังจาก Unreal Engine 4 ที่ยังถือว่า ยังคงสามารถสร้างทุกอย่างขึ้นมาได้อย่างละเอียดลออ ตอน MK11 ที่ถูกยกให้เป็นเกมไฟติ้งที่รายละเอียดสมจริงที่สุดเกมหนึ่งที่เคยมี มาใน MK1 ก็ยังคงพูดได้ว่า ก็ยังเป็นอีกเกมที่สวยมาก ๆ ของปีนี้เลยครับ
อาจจะจุดแหม่ง ๆ เกิดขึ้นแบบประปรายอยู่บ้าง เช่น เส้นผมของตัวละคร ที่หลาย ๆ ช่วง มันจะเกิดรอยหยัก aliasing ขึ้นมาชัดมาก ทำให้มันไม่พริ้วแบบที่ควรจะเป็น แต่โดยรวม ไม่ว่าจะการแสดงสีหน้าของตัวละคร รายละเอียดของตับไตไส้พุง ตอนทำ Fatality รายละเอียดของกระดูกที่แตกละเอียดแบบเห็นได้จะจะ ตอนท่า Fatal Blow หรือรายละเอียดความลึกของฉากแต่ละฉาก เรียกได้ว่าน่าประทับใจตลอดทั้งเกมครับ ที่พิเศษในภาคนี้ Stage ของเกม เราสามารถเลือกระหว่าง กลางวัน กับ กลางคืน ได้หมดทุกฉาก และเวลาเปลี่ยน รายละเอียดของฉากหลังก็จะเปลี่ยนไปแบบโดยสิ้นเชิง เป็นลูกเล่นในการโชว์กราฟิกที่น่าสนใจมาก โดยเฉพาะกับเกมแนวต่อสู้แบบนี้
บทความโดย SHODAN
Nintendo Switch – Mortal Kombat 1 ราคา 2,490 บาท
PlayStation 5 – Mortal Kombat 1 ราคา 2,490 บาท
สำหรับท่านที่สนใจสามารถสั่งซื้อได้ที่
อินบ็อกซ์เพจ: m.me/happyconsole
ไลน์ไอดี: @happyconsole
เว็บไซต์: happyconsole.com
อินสตาแกรม: bit.ly/2kuFVpT
แฮปปี้คอนโซล (หน้าชิงช้าสวรรค์ยักษ์) เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์
แฮปปี้คอนโซล (ชั้น 3) เทอร์มินอล 21 พระราม 3
เปิดบริการทุกวันเวลา 10.00 - 21.00 น.
อัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับเกมส์ “คลิกที่นี่”