สำหรับผลิตภัณฑ์แว่น VR ที่กำลังได้รับความนิยมมาก ณ ขณะนี้ ก็คงไม่มีแบรนด์ที่จะโดดเด่นไปกว่า “PICO4” และ “Meta Quest 2” อีกแล้วนะครับ กับ 2 แว่น VR รุ่นล่าสุด จาก PICO และ Meta ที่กำลังได้รับความนิยมแบบสูสีกันทั้งสองแบรนด์ ด้วยภาพลักษณ์ในสไตล์แบบ “แว่น VR ยุคอนาคต” ที่ตอบโจทย์ความต้องการ และไลฟ์สไตล์ของคนยุคนี้ การพยายามเปลี่ยนภาพลักษณ์ จากแว่น VR สี่เหลี่ยมอันใหญ่ แบบเดิม ๆ ให้กลายเป็นแว่น VR ที่มากับรูปโฉม และการใช้งานที่สะดวกมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทาง Meta เป็นผู้นำเทรนด์เป็นเจ้าแรก ๆ จนกระทั่งการมาของแบรนด์ PICO ที่หลายคนจับตามองว่า น่าจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของ Meta Quest 2 ได้เลยทีเดียว
สำหรับใครที่ยังไม่ได้มีแว่น VR เป็นของตัวเอง และกำลังอยากทราบอยู่พอดีเลยว่า แว่น VR ทั้ง 2 แบรนด์นี้ มีความโดดเด่นของตัวเองตรงไหนบ้าง เราเลยขอทำการจับเอาแว่น VR ทั้ง 2 มาไฟว้กัน ให้ทุกท่านได้ทราบความโดดเด่นของทั้ง PICO 4 และ Meta Quest 2 มาดูให้เห็นชัด ๆ กันไปเลยว่า ทั้ง 2 แบรนด์ มีจุดเด่นที่น่าสนใจของตัวเอง ที่เหมือน หรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง! (อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงรายละเอียดในภาพรวมของทั้ง 2 แบรนด์ เพื่อเป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจ เท่านั้นนะครับ ในด้านรายละเอียดเชิงลึก ยังมีดีเทลอีกมากมายของตัวสินค้าที่ต้องพิจารณาด้วยตัวเอง)
1. สเปกเครื่อง (Spec)
โดยรวมแล้ว ทั้ง 2 ตัวมีสเปกที่ค่อนข้างใกล้เคียงกันมาก ทั้ง CPU ตัวเดียวกันคือ Snapdragon XR2 ระบบปฏิบัติการเป็น Android 10 (แต่ในปัจจุบัน Quest 2 อัปเดตระบบปฏิบัติการเป็น Android 12.1 เรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ PICO 4 ยังคงเป็น Android 10 เหมือนเดิม) RAM ฝั่ง PICO 4 จะสูงกว่าที่ 8 GB ส่วน Quest 2 จะอยู่ที่ 6 GB และการ์ดจอ Adreno 650 ของ Quest 2 จะเป็นเวอร์ชัน 1.1 ส่วน PICO 4 จะเป็น 1.2
ในภาพรวมด้านสเปก แม้ Quest 2 จะเก่ากว่า แต่ข้อดีคือ ทาง Meta ได้มีการอัปเดตระบบของซอฟต์แวร์ให้เป็นของใหม่ ให้สามารถทัดเทียมกับแว่น VR ที่ออกตามหลังได้อยู่ ถือเป็นข้อดีของคนที่ Meta Quest 2 ในครอบครองอยู่แล้ว ส่วน PICO 4 ก็ถือเป็น “ของใหม่” ที่เหมาะสำหรับคนที่ยังไม่เคยซื้อแว่น VR มาก่อน ที่มีสเปกในระดับที่รองลงมา และอยู่ในราคาที่ค่อนข้างเข้าถึงง่ายกว่า ทำให้ในภาพรวม Quest 2 เอง ก็ยังคงมีความเสถียรกว่าค่อนข้างมากครับ
2. ดีไซน์และรูปทรง (Designs Form & Shape)
ในด้านการออกแบบถือว่า ต่างกันจนสามารถเรียกได้ว่า เป็นแว่นคนละ Gen ได้แบบเต็มปาก เพราะ Quest 2 ยังคงยึดใช้ดีไซน์แบบแว่น VR จากรุ่นก่อน คือ ทรงแบบเหลี่ยม ๆ และขนาดค่อนข้างใหญ่ มีการแก้ปัญหาความเทอะทะจากรุ่นแรกได้ประมาณหนึ่ง โดยการเพิ่มความโค้งมนเข้าไปในรูปทรงของแว่น ให้มีความล้ำสมัยมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หนีจากรุ่นก่อนมากนัก ยังค่อนข้างหนัก ถึง 470 กรัม
ส่วน PICO 4 อันนี้คือพลิกโฉมเลยครับ เนื่องจากเป็นแว่นที่ออกมาในปี 2022 ซึ่งตั้งใจออกมาเป็นมาตรฐานใหม่ ในการดีไซน์ตัวแว่น VR ในยุคถัดไป (ก่อนที่ Apple Vision Pro วางขาย นั่นแหละครับ มาตรฐานใหม่ของจริง) ทำให้ PICO 4 มีดีไซน์ที่ดูล้ำสมัย ด้วยขนาดและรูปทรงที่เล็กลง น้ำหนักเพียง 295 กรัม เท่านั้น สามารถสวมใส่ให้เข้ากับรูปหน้าได้ดียิ่งขึ้น บอกลาแว่นเหลี่ยม ๆ แบบเดิมโดยสิ้นเชิง ถ้าใครจะตัดสินใจซื้อ PICO 4 ที่ดีไซน์แว่น ก็ถือว่าสมเหตุสมผลดีมาก (ถ้าไม่นับเรื่องสเปกของตัวแว่นที่อาจจะด้อยกว่าพอสมควร)
3. ความคมชัดของเลนส์และหน้าจอ (Lens & Display)
PICO 4 ใช้เลนส์ Pancake ตามสมัยนิยม เนื่องจากเป็นเลนส์ที่มีความบางเป็นพิเศษ ทำให้ภาพในแว่นมีความคมชัดและสมูทขึ้นกว่าเดิม ต่างกับ Quest 2 ที่ยังคงใช้เลนส์ Fresnel แบบเก่าอยู่ และ PICO 4 มาพร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ ให้เราสามารถปรับ Field of View หรือ ระยะด้านข้างของเลนส์ทั้ง 2 ด้านได้ เป็นการแก้ปัญหาเรื่อง Aspect Ratio ที่ไม่เท่ากันของแต่ละเกม ได้ด้วยวิธีที่เรียบง่ายแต่ได้ผลดีเยี่ยม
ส่วนด้านความคมชัดของหน้าจอ ก็เป็นอีกจุดที่ทั้งสองรุ่น จะมีความคล้ายกัน ด้วยหน้าจอ Fast-LCD ที่แสดงผลภาพระดับ 4K+ โดย PICO 4 จะมีขนาดของหน้าจอที่ใหญ่กว่าที่ 2160×2160 ส่วน Quest 2 อยู่ที่ 1720×1890 แต่ Quest 2 สามารถทำค่า Refresh Rate ได้สูงกว่ามากถึง 120Hz ส่วน PICO 4 จะอยู่ที่ประมาณ 90Hz ทำให้ในแง่การประมวลผลที่คมชัด Meta Quest 2 ก็ยังคงมีคุณภาพที่สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลยครับ ด้วยการ Optimized ด้านภาพที่มีความเสถียรมากกว่า ในขณะที่ PICO 4 เรายังคงสามารถมองเห็นรอยหยัก ของภาพได้อย่างชัดเจนอยู่ เนื่องจาก Refresh Rate ที่ไม่สูงเท่ากับของ Meta Quest 2
4. จอยคอนโทรลเลอร์ (Joy Controllers)
ในส่วนของคอนโทรลเลอร์ ทั้ง Quest 2 กับ PICO 4 จะยึดใช้ภาพลักษณ์ของคอนโทรลเลอร์แว่น VR ที่เราคุ้นเคยคือ ก้านควบคุม 2 ตัว ขนาดกำลังพอดีมือ ต่างกันแค่ ตำแหน่งของ ห่วงกลม ๆ ที่อยู่บนคอนโทรลเลอร์ ซึ่งเป็นตัวส่งสัญญาณ LED อินฟาเรด จับสัญญาณ Motion Tracking ระหว่างแว่น กับคอนโทรลเลอร์ นั่นเอง (เผื่อใครสงสัยครับว่า ไอ้ห่วงกลม ๆ นี้ มันมีไว้ทำอะไร) โดยของ Quest 2 ห่วงจะอยู่ในตำแหน่งด้านบนของปุ่มควบคุม ทำให้อยู่ในจุดที่ค่อนข้างลงตัว และเรียบง่าย (ล่าสุดทาง Meta ได้ออกคอนโทรลเลอร์รุ่นใหม่ ที่ตัดเอาเจ้าห่วงนี่ออกไปแล้วเรียบร้อย แล้วย้ายตัว LED อินฟาเรด ไปไว้ตรงตัวคอนโทรลเลอร์แทน)
ส่วน PICO 4 จะเป็นห่วงขนาดใหญ่ ที่อยู่ตำแหน่งเดียวกับฝ่ามือของเรา ทำให้สามารถใช้เป็นตัวรองฝ่ามือได้ด้วย สามารถใช้สร้างสมดุลความมั่นคง ขณะกำลังถือได้เป็นอย่างดี ทำให้ดีไซน์รวม ๆ จะดูแหวกแนวกว่าคอนโทรลเลอร์ VR ทั่วไปอยู่พอสมควร และอาจจะต้องใช้เวลาในการทำความคุ้นชินพอสมควร หากคนที่ใช้คอนโทรลเลอร์ของแว่น VR รุ่นก่อนมานาน
5. คอนเทนต์ที่ตัวแว่นรองรับ (Games & Content Compatible)
แว่นทั้ง 2 แบรนด์ ต่างก็อุดมไปด้วย เกม แอปพลิเคชัน และภาพยนตร์ Interactive มากมายให้เลือกเล่นและเลือกชมกันเพียบไม่แพ้กันครับ โดยฝั่ง PICO4 สามารถเข้าไปเลือกหาเกมที่ต้องการได้ผ่านทาง PICO Store ส่วน Meta Quest จะเป็น Meta Store ของทาง Meta นั่นเอง โดยในส่วนนี้ ต้องยอมรับครับว่า ด้วยความเป็นแว่นจากทาง Meta เอง ทำให้แว่น Quest 2 จะมีคอนเทนท์ Exclusive ให้เล่นมากกว่า เนื่องจากมีบริษัทผู้พัฒนาเกมรายใหญ่ ๆ ที่เป็นพันธมิตรกับทาง Meta เป็นอย่างดี ในขณะที่ PICO 4 ส่วนใหญ่ ก็มักจะมีแต่เกมหรือแอปโดยทั่ว ๆ ไป ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่า Meta Quest 2 เท่าใดนัก
ในส่วนของหน้า UI นั้น หากเทียบในด้านความล้ำ Quest 2 ยังคงความสวยงามและยังดูล้ำสมัยอยู่มาก แบบไม่น้อยหน้า UI ของ PICO 4 เลย (แถมเมื่อมาเทียบกัน UI ของ PICO 4 จะดูค่อนข้างตกยุคไปพอสมควร) ทำให้ถ้าเป็นในแง่ภาพลักษณ์ที่ทันสมัย Quest 2 ถือว่ายังตามแว่น VR รุ่นที่มาทีหลังได้อยู่ครับ
จะเห็นได้ว่า ทั้ง 2 แบรนด์ ล้วนเป็นแว่น VR ระดับคุณภาพ ที่มีประสิทธิภาพการใช้งานที่ดีทั้งคู่ แต่ PICO 4 เอง ก็ยังคงมีหลายอย่างที่ยังตามหลัง Meta Quest 2 อยู่ เพราะแม้ว่า PICO 4 จะมาทีหลัง แต่ในด้านการใช้งาน Meta Quest 2 ก็ยังคงมีความเสถียรในการใช้งานที่ไม่ลดลงเลย แม้จะออกมาได้ 3 ปีแล้ว ถ้าเทียบกัน PICO 4 ก็คือยังถือว่าเป็นน้องใหม่ไฟแรง ที่เข้ามาเทียบเคียงรุ่นพี่ ที่ยังคงต้องพิสูจน์คุณภาพกันในระยะยาวไปอีกเยอะครับ
บทความโดย SHODAN
PICO 4 128 GB ราคา 12,590 บาท (ปกติ ฿12,990)
Meta Quest 2 128 GB ราคา 11,990 บาท (ปกติ ฿15,990)
สำหรับท่านที่สนใจสามารถสั่งซื้อได้ที่
อินบ็อกซ์เพจ: m.me/happyconsole
ไลน์ไอดี: @happyconsole
เว็บไซต์: happyconsole.com
อินสตาแกรม: bit.ly/2kuFVpT
แฮปปี้คอนโซล (หน้าชิงช้าสวรรค์ยักษ์) เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์
แฮปปี้คอนโซล (ชั้น 3) เทอร์มินอล 21 พระราม 3
เปิดบริการทุกวันเวลา 10.00 - 21.00 น.
อัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับเกมส์ “คลิกที่นี่”