รีวิว Final Fantasy XVI ชิมลางแอคชัน ความมันส์ที่ไม่ควรพลาด

2 ปีที่ผ่านมา

โดย เจ้าของร้าน

เป็นซีรีส์เกมที่อยู่คู่ชาวเกมเมอร์มานานจริง ๆ สำหรับ Final Fantasy จาก Square Enix เพราะนับตั้งแต่เกมแรกวางจำหน่าย ก็เป็นระยะเวลาเกือบ 40 ปีเข้าไปแล้ว และด้วยเหตุนี้ ซีรีส์ก็ฟูมฟักเหล่าแฟนคลับมาหลาย ๆ รุ่น ทั้งรุ่นคลาสสิก และรุ่นปัจจุบัน

แม้เกมการเล่นจะเปลี่ยนมานานกว่าหลายยุคหลายสมัย แต่เมื่อพูดถึง Final Fantasy ก็ต้องพูดถึงความนุ่มลึกในระบบการเล่น เป็นสิ่งที่แมส แต่ยังมีความเฉพาะตัว แม้ในภาคหลัง ๆ จะมีการปรับเปลี่ยนระบบการเล่นไปบ้าง แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งกลิ่นอายเก่า ๆ

Final Fantasy XVI น่าจะเป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญของซีรีส์ เนื่องจากมองยังไงมันก็ไม่ใช่เกม RPG เต็มร้อยเปอร์เซ็นเหมือนที่เคย ๆ ฉะนั้นมันจึงเกิดเสียงอื้ออึงจำนวนมากว่า “มันจะยังเป็น Final Fantasy อย่างที่เรารู้จักจริง ๆ ไหม” และเราจะพาไปพิสูจน์กันในรีวิวตัวนี้

เนื้อเรื่องรุนแรง สะใจ ไม่แผ่วปลาย

เรื่องราวของ Final Fantasy XVI เริ่มขึ้นในอาณาจักรที่เรียกว่า Valisthea โลกที่โดนวิกฤต Blight กลืนกิน ทำให้ที่อยู่อาศัยมีจำนวนน้อย ผู้คนก่อสงครามกันเป็นจำนวนมาก เรารับบทเป็น Clive Rosefield ลูกชายของอาร์คดยุกแห่งเมือง Rosaria เมืองที่ครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่า Eikon นามว่า Pheonix

ด้วยเหตุการณ์บางอย่าง Rosaria ล่มสลายภายในคืนเดียว Clive คือผู้รอดชีวิตไม่กี่คนของอาณาจักร ความสูญเสียเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นเครื่องจักรสังหาร ที่มีชีวิตอยู่เพื่อรอวันแก้แค้นเท่านั้น

สำหรับเนื้อหาในภาคนี้ ต้องบอกเลยว่ามีความเด่นชัดในตัวเองตั้งแต่เริ่มแรก คือเริ่มต้นด้วยความ “หนัก” ที่มากกว่า Final Fantasy ภาคอื่น ๆ โดยใส่มาทั้งความหมิ่นเหม่ทางศีลธรรม ความรุนแรง ทุกอย่างที่ไม่เคยทำในภาคก่อน ๆ รวมอยู่ในภาคนี้ทั้งหมด

เรื่องราวส่วนใหญ่ของเรื่องค่อนข้างเล่าเป็นเส้นตรง ตามติดตัวละคร Clive Rosefield ในการจัดการเรื่องราวของตัวเองและผู้คนรอบตัว โดยในระหว่างนั้นเรื่องราวในโลก อย่างเช่นสงคราม ก็จะดำเนินเป็นพื้นหลังไปด้วย

ข้อดีคือผู้เล่นไม่ต้องโฟกัสมากว่าอะไรเกิดขึ้น และจะส่งผลกระทบอย่างไรบ้าง เพียงแต่โฟกัสไปที่ภารกิจของตัวเอกอย่างเดียวเท่านั้น และถ้าใครที่อยากรู้เรื่องราวทั้งหมด เขาก็ยังมีระบบต่าง ๆ ที่ช่วยให้เราหาความรู้เพิ่มเติมได้อีก เรียกได้ว่ารองรับทั้งคนที่ชอบรู้เยอะ และคนที่ไม่ค่อยชอบรู้อะไรที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง ไปในเวลาเดียวกัน

บรรยากาศสวยงาม คงความเป็นไฟนอลแฟนตาซี

แผนที่ในภาคนี้จะแบ่งออกเป็นแต่ละโซนใหญ่ ๆ แต่ละแผนที่คือหนึ่งประเทศ การเดินทางของ Clive Rosefield จะกินพื้นที่ทั้งสองทวีปที่ยังเหลืออยู่ของแผ่นดินนี้ นอกนั้นจะเป็นการลงดันเจี้ยนขนาดใหญ่ ซึ่งต้องบอกว่าใหญ่มาก และบางส่วนก็สวยงามจนอดย้อนมาเล่นไม่ได้

การออกแบบกราฟิกในเกมนี้ค่อนข้างละเมียดละไมในส่วนของรายละเอียดยิบย่อยมาก Object ต่าง ๆ มีความพริ้วไหวตามสายลม เคลื่อนที่ตามสายน้ำ ยกเว้นแค่ส่วนประกอบบางส่วนที่เราอาจไม่ได้ไปยุ่งกับมันอยู่แล้ว เขาก็เลยไม่ได้ใส่ฟิสิกส์มา ถ้าเราเผลอไปทำอะไรพิเรนท์ ๆ เกมก็อาจจะแสดงอะไรแปลก ๆ ออกมาได้

เอฟเฟกต์ตัวเด็ดของภาคนี้คือเหล่าเอฟเฟกต์สกิล และแสงไฟต่าง ๆ ที่ทำออกมาได้สวยงามมาก และเหมือนผู้กำกับจะรู้ ก็เลยเน้นส่วนนี้เป็นพิเศษ ใส่แบบจัดเต็มในทุก ๆ ฉาก โดยเฉพาะฉาก Eikon Battle ที่ดูแทบจะไม่รู้เรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น เนื่องจากเอฟเฟกต์พวกนี้มันเยอะมาก รวม ๆ แล้วสะใจดี

ข้อเสียเพียงอย่างเดียวน่าจะเป็นเรื่องการเก็บงาน การเล่นไปเรื่อย ๆ จะสังเกตได้เลยว่างานช่วงหลังของเขาค่อนข้างรีบทำพอสมควร รายละเอียดจะไม่เท่าช่วงแรก ทำให้เรารู้สึกว่าอยากเล่นให้มันจบเร็ว ๆ มากกว่าที่จะรีรอทำเควสรองดั่งช่วงต้นเกม

เกมเพลย์เปลี่ยนใหม่ยกชุด

ภาคนี้เป็นภาคแรกที่เปลี่ยนตัวเองเป็นแอคชันแบบเต็มตัว เราต้องกดท่าทางต่าง ๆ ด้วยตัวเองคล้ายเกมต่อสู้ การบิลด์ตัวละครของภาคนี้ขึ้นอยู่กับ Eikonic Ability ที่จะปลดล็อคทุกครั้งเมื่อคุณปราบบอสใหญ่ในซีเควนท์นั้น ๆ ได้ ทำให้การเล่นแปลกไปจากเดิม หรือเล่นได้ทรงประสิทธิภาพขึ้นในช่วงหลัง

อาวุธชุดสวมใส่ในภาคนี้ถูกปรับค่อนข้างมาก เราใส่ได้แค่อาวุธ 1 ชิ้น และเครื่องป้องกัน 2 ชิ้น โดยทั้งสามจะใช้ค่าสเตตัสที่ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมคอม และไม่มีอาวุธชุดเกราะใดที่ไม่เหมือนใคร มีแค่ให้พลังโจมตีและพลังป้องกันเท่านั้น

เครื่องประดับในเกมนี้ใส่ได้สามช่อง ในโหมดการเล่นปกติ เครื่องประดับส่วนมากจะให้แค่ค่าความแรงของ Eikonic Ability หรือลดคูลดาวน์เท่านั้น แต่ยังมีเครื่องประดับที่เรียกว่า Timely อยู่ด้วย โดยเครื่องประดับพวกนี้จะเหมือนเครื่องมือช่วยเล่น ทำให้คนเล่นเกมแอคชันไม่เป็นเล่นได้ง่ายขึ้น

โดยรวมตัวเกมมีการตัดความเป็น RPG ออกไปเยอะพอสมควร แทบไม่มีเหลือแม้แต่การพัฒนาตัวละคร ความเป็นแอคชันต้องบอกว่าตอบโจทย์ เพราะเขาใช้ระบบที่คล้าย ๆ กับเกมยุคปัจจุบัน คือบอสมีค่าความอดทน เมื่อเราโจมตีมาก ๆ เข้าบอสจะล้มให้เราซ้ำ แม้ระบบการเล่นจะไม่หลากหลาย แต่โดยรวมคือสนุกสมราคา

มีปัญหาด้านเฟรมเรทนิดหน่อย

โหมดภาพของภาคนี้ปรับได้ทั้งหมด 2 โหมด ได้แก่ Quality และ Performance ในส่วนของ Quality จะเป็นความละเอียดแบบ Dynamic 4K ในระดับ 30FPS ถือเป็นโหมดที่มีความสวยงามเป็นอย่างมาก เฟรมเรทถือว่านิ่งไม่ค่อยมีตกต่ำกว่า 30FPS เท่าไหร่นัก แสดงถึงความใส่ใจของผู้สร้างอย่างมาก

แต่โหมด Performance เป็นโหมดที่ค่อนข้างมีปัญหา แม้จะลดความละเอียดลงมาอยู่ในระดับ Dynamic 2K แต่ไม่สามารถคงระดับ 60FPS ไว้ได้ บางฉากอาจมีตกลงมา 30-40FPS เลยด้วยซ้ำ เมื่อแลกกับงานภาพที่ลดลง อาจดูไม่คุ้มเท่าไหร่

บั๊กในภาคนี้ เนื่องจากทำมาเพื่อเครื่อง PlayStation 5 โดยเฉพาะ เลยไม่ได้มีบั๊กอะไรที่เด่นชัดขนาดนั้น โดยรวมตอนเล่นเราไม่เจอบั๊กอะไรเลย ถือว่ายอดเยี่ยมมากสำหรับเกมระดับนี้

เกมดีที่ยังไงก็ไม่ควรพลาด

โดยรวม Final Fantasy XVI ถือเป็นงานที่สมบูรณ์ในรูปแบบของตัวเอง แม้จะมีองค์ประกอบบางอย่าง อย่างเช่นการอัพเกรด ที่อาจจะซับซ้อนน้อยไปหน่อยสำหรับชื่อ Final Fantasy แต่ส่วนอื่นทำได้ดีจนมองข้ามไปได้ ถ้าคุณชอบไฟนอล ถ้าคุณชอบเกมแอคชัน ยังไงก็ต้องเล่น (9/10)

บทความโดย Mark.Phit

PlayStation 5 (TH) – Final Fantasy XVI Bundle ราคา 20,790 บาท

PS5 : FINAL FANTASY XVI ราคา 2,290 บาท

PS5 : DualSense Wireless Controller - Final Fantasy XVI Limited Edition ราคา 4,200 บาท

PS5 : Console Cover Final Fantasy XVI Limited Edition ราคา 4,900 บาท