ไม่รู้ว่าดำเนินมาถึงช่วงปลายของ Nintendo Switch แล้วหรือเปล่า เพราะ Pokémon วางจำหน่ายบนเครื่องนี้ถึง 3 เกมหลักเข้าไปแล้ว โดยเฉพาะภาคหลักนี่ก็สองภาคเต็ม ๆ เรียกว่าอิ่มอกอิ่มใจสำหรับแฟนโปเกม่อนจริง ๆ โดยเฉพาะภาคล่าสุดอย่าง Pokémon Scarlet & Violet ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงครั้งที่ว่าคือ การทำให้ Pokémon“กลายเป็นเกม Open World” หลังจากเป็นเกมแบบพื้นที่อยู่นาน แต่งานนี้มันจะมีข้อดีข้อเสียแบบไหน และ Nintendo Switch เครื่องนี้ที่อยู่กับเรามาหลายต่อหลายปี จะเล่นไหวหรือเปล่า ไปดูกันในรีวิว Pokémon Scarlet & Violet จากเรา Happyconsole
เนื้อเรื่อง
เนื้อหาในภาคนี้ Pokémon Scarlet & Violet จะพาเราไปภูมิภาค The Paldea ภูมิภาคสุดมหัศจรรย์ที่มีลักษณะเป็นเกาะ แต่ล้อมรอบไปด้วยสภาพพื้นที่ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บางพื้นที่หนาวจัดจนเป็นน้ำแข็ง บางพื้นที่แห้งแล้งจนเป็นทะเลทราย บางพื้นที่เขียวชอุ่มชุ่มน้ำ และแน่นอนว่ามีพื้นที่ติดทะเลแน่ ๆ เพราะเป็นเกาะ ซึ่งสภาพแวดล้อมแบบนี้ ทำให้ Paldea เต็มไปด้วยโปเกม่อนหลากหลายสายพันธุ์ในภูมิภาค Paldea นอกจากจะมีภูมิประเทศที่หลากหลายแล้ว วัฒนธรรมในนี้ก็ยังหลากหลายเช่นกัน แต่ศูนย์รวมทั้งหมดอยู่ที่โปเกม่อน โดยมีการเปิดเป็นสถานศึกษาเพื่อเรียนรู้เรื่องโปเกม่อนแบทเทิลโดยเฉพาะ เรารับบทเป็นหนึ่งในนักเรียนของ Naranja Academy ที่เพิ่งจะมาเข้าเรียนวันแรก ก่อนจะพบกับเรื่องราวสุดมหัศจรรย์แบบในภาคก่อน ๆ
แน่นอนว่าเนื้อเรื่องของ Pokémon ไม่ใช่จุดโฟกัสอันดับต้น ๆ ของเกม เนื่องจากแรกเริ่มเดิมที ซีรีส์นี้เน้นขายความน่ารัก กับธีมอยู่แล้ว ฉะนั้นเนื้อเรื่องในภาคนี้ก็เลยไม่ได้เข้มข้นอะไรมาก แต่ต้องบอกว่ามีความน่าสนใจกว่าภาคเก่า ๆ เพราะมันไม่ได้ดำเนินเนื้อเรื่องเป็นเส้นตรง แต่มันมอบเควสแบบหลวม ๆ มาให้เราแทน เป็นอารมณ์ประมาณว่า จะทำตอนไหนก็ได้ ทำเสร็จทั้งหมดจึงจะโผล่ไปช่วงไฟนอลของเกมได้โดยรวมถ้าใครเป็นคนชอบเล่นเกมเนื้อเรื่องเข้มข้น Pokémon ในภาคนี้อาจจะไม่ตอบโจทย์ เพราะช่วงแรกตัวเกมให้อิสระกับผู้เล่นเป็นอย่างมาก เหมาะกับพวกเอ้อระเหยลอยชาย วิ่งจับโปเกม่อนสุด ๆ ซึ่งมันก็พาให้ผู้เล่นที่ได้รับแรงส่งจากเนื้อเรื่องรู้สึกฝ่อ ๆ ได้เหมือนกัน แต่พอเข้าสู่ช่วงไฟนอลแล้ว เนื้อเรื่องจะเริ่มเข้มข้นจนนึกว่าเล่นกันคนละเกม ซึ่งอันนี้ถ้าใครชอบเนื้อเรื่องอาจจะมองเป็นข้อเสียก็ได้ แต่สำหรับเราคิดว่าเป็นข้อดีมากกว่า เพราะขี้เกียจตาม อยากเดิน ๆ จับ ๆ ฟาร์ม ๆ ไปเรื่อย
การนำเสนอ
โลกในภาคนี้แน่นอนว่าเป็น Open World เต็มรูปแบบ และมีขนาดค่อนข้างใหญ่ เราสามารถเดินไปไหนมาไหนตามใจอยากได้ แต่จะมีกำแพงเนื้อเรื่องกั้นเราไว้ไม่ให้เราโผล่ไปเจอกับฝูงโปเกม่อนระดับเอนเกม ซึ่งการจะไปให้ได้สุดทุกที่ เราจะต้องทำเควสในส่วนของ Titan เพื่อปลดล็อคความสามารถให้โปเกม่อนเทพของภาคนี้ (ซึ่งเราเอามาขี่) ให้ได้ทุกอย่างก่อนทุกสภาพแวดล้อมจะมีโปเกม่อนกระจายอยู่รอบ ๆ ในภาคนี้ไม่มีแล้วการมุดดง มุดหญ้าสุ่มหา มีแต่การเดินเข้าหาเหล่าน้อง ๆ ที่อยู่บนพื้น และเมื่อเดินเข้าไปสัมผัสตัวน้อง เราก็จะได้ต่อสู้ ซึ่งการต่อสู้ เกมก็ไม่ได้ตัดฉากแต่อย่างใด มีแค่กล้องที่แพนเข้าหาให้เห็นว่ากำลังสู้กันนะ แต่สภาพรอบ ๆ ยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ถ้ามีโปเกม่อนเดินโต๋เต๋ ๆ อยู่ มันก็ยังจะเดินอยู่อย่างนั้นแหละ
ซึ่งบางทีกล้องมันก็ชอบทำงานมั่ว ๆ เอ๋อ ๆ อยู่เหมือนกัน อย่างบางทีดวลกัน โปเกม่อนของเราถูกกล้องกลืนหายไปครึ่งตัวบ้าง ทั้งตัวบ้าง แทบไม่เห็นเลยว่ามันกำลังทำอะไรอยู่ ดีที่บางครั้งเมื่อเราร่ายสกิล มันจะมีการซูมให้ดูฉากเท่ ๆ บ้าง ก็เป็นการรีเซ็ตมุมกล้องไปในตัวสิ่งที่ดีในภาคนี้ที่ภาคอื่นไม่มี คือเราได้เห็นความเป็นไปของโลกที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นกว่าโปเกม่อนภาคก่อน ๆ ราวฟ้ากับเหว ถ้าคุณจำได้ ภาคก่อน ๆ เราจะไม่เจอสังคมมนุษย์ที่ดูเหมือนสังคมมนุษย์จริง ๆ มีแค่ไอ้บ้าเฝ้ายิมไม่ทำงานทำการ กับมนุษย์ผู้ไม่ขยับไปไหนมาไหนในเมือง ดูแล้วไร้อารมณ์สุด ๆ
แต่ในภาคนี้ ตัวละครทุกตัวใช้ชีวิตราวกับคนปกติ หัวหน้ายิมที่เราไปสู้ต่างมีอาชีพ มีการงาน และมีบุคลิกที่รู้สึกได้ว่า นี่แหละคือคนจริง ๆ แม้หัวหน้ายิมในภาคนี้จะไม่ค่อยน่าจดจำ (แหงละ เพราะมันไม่ใช่พวกเบียวแบบในภาคก่อน ๆ) แต่บรรยากาศที่เกมนี้พยายามเบลนด์ความโปเกม่อนให้มันอยู่ในโลกจริงได้ ก็ทำให้เราประทับใจได้มากจริง ๆอีกอย่างที่ไม่พูดไม่ได้ คือโปเกม่อนในภาคนี้ ทำหน้าที่ได้เหมือนสิ่งมีชีวิตในโลกจริงเข้าไปอีกขั้น จากเดิมที่มีแค่ลักษณะที่คล้าย ในภาคนี้ พวกมันมีสังคมเป็นของตัวเองชัดเจนขึ้น เช่น โปเกม่อนประเภทนก จะอยู่รวมกันเป็นหย่อม เป็นฝูง ยกเว้นจำพวกเหยี่ยว ที่จะอยู่ตัวเดียวแยก ๆ, โปเกม่อนคล้ายสิงโต ก็จะอยู่เป็นฝูงเล็ก ๆ มีตัวผู้หนึ่งตัว อีกสองสามตัวเป็นตัวเมีย เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ทำให้โปเกม่อนภาคนี้ โดดเด่นเหนือภาคก่อน ๆ ที่ผ่านมาอย่างเทียบไม่ติด
ระบบการเล่น
เกมเพลย์ของ Pokémon Scarlet & Violet ในแง่ของพื้นฐานไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปมาก เนื่องจากรากฐานของ Pokémon Battle ถือว่าเข้มแข็งมาตั้งแต่ภาคแรกอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นจะต้องมีสิ่งใดปรับเปลี่ยนแต่ภาคนี้ได้นำเสนอลูกเล่นใหม่ เรียกว่า Terastallize ซึ่งเป็นการใช้ Tera Ball เปลี่ยนประเภทของโปเกม่อนช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในเวลานั้น โปเกม่อนจะได้บัพท่าที่เกี่ยวข้องกับธาตุที่ใช้ Terastallize ให้รุนแรง และสวยงามยิ่งขึ้นโดยปกติแล้วการ Terastallize จะทำให้โปเกม่อนได้รับการบัพแค่ประเภทหลัก เช่น ถ้าเราใช้ Starter ไฟในภาคนี้ การ Terastallize เปล่า ๆ จะทำให้น้องได้บัพธาตุไฟ แต่ถ้าโปเกม่อนเราถือ Shard ประเภทต่าง ๆ เอาไว้ในมือด้วย การ Terastallize จะเปลี่ยนไปเป็นธาตุเดียวกับ Shard ที่น้องถือไว้ ซึ่งระบบนี้ถือเป็นระบบสำคัญที่เอาไว้เปลี่ยนแปลงเกมการเล่นระดับนึงเลย เนื่องจากปกติแล้วโปเกม่อนจะมีธาตุที่แพ้ทางอย่างรุนแรง (x4) อยู่ ถ้าเราใช้ Shard เพื่อย้ายธาตุโปเกม่อนของเราไปยังธาตุนั้น ธาตุที่แพ้ก็จะเปลี่ยนไปทันที เปลี่ยนจากความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะได้ไม่ยาก
ภาคนี้ยังนำเสนอโปเกม่อนรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Paradox Pokémon” โปเกม่อนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อเรื่องในช่วงไฟนอลของภาคนี้ ความสามารถของ Paradox จะเป็น Counterpart กับโปเกม่อนเดิม ช่วยให้การเล่นหลากหลายเข้าไปอีกแน่นอนว่าในเรื่องเกมเพลย์ไม่มีอะไรจะพูดมาก เนื่องจากโปเกม่อนมันก็ยังเป็นโปเกม่อนอยู่ดี ก็คือใช้ระบบการเล่นเดิมที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว ผสมกับการนำเสนอฟังก์ชันใหม่ในทุก ๆ ภาค เรียกว่าดีอย่างไรก็ดีอย่างนั้น ไม่มีคำว่าแย่เลยสำหรับเกมนี้
ประสิทธิภาพ
เรื่องประสิทธิภาพน่าจะเป็นเรื่องที่หลายคนกังวลเกี่ยวกับโปเกม่อนภาคนี้ เนื่องจากตัวเกมเป็นทั้ง Open World แถมยังอัพเกรดกราฟิกจากภาคที่แล้วขึ้นมาอีก แน่นอนว่าปัญหาด้านประสิทธิภาพจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนและมันก็เกิดขึ้นจริง ๆ แม้จะลง Day one Patch แล้ว ตัวเกมก็ยังคงมีปัญหาสโลว์ กระตุกบ้างเป็นบางครั้ง แถมยังสูบแบตมาก ๆ ในโหมด Handheld ซึ่งมันก็เข้าใจได้เพราะตัวเกมระดับนี้ มันก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา แต่บางทีก็รู้สึกว่า นี่เป็นเกมของ Nintendo แท้ ๆ ทำไมไม่ดูแลให้มันดีกว่านี้หน่อยในโหมด Dock นี่ยิ่งแล้วใหญ่ แม้จะได้อานิสงค์จากโค๊ด Overclock ลับของ Nintendo ที่ให้ใช้เฉพาะเกม First Party แล้ว แต่มันยังไม่รอดจากอาการแลค และกระตุก แถมยังมีปัญหาโหลดโปเกม่อนไม่ทัน บางทีกำลังแว๊น ๆ อยู่ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างหน้าบ้าง ไปชนกับโปเกม่อนเข้าฉากต่อสู้ซะงั้น ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรอยู่ตรงหน้าเลยแท้ ๆ
สรุป
Pokémon Scarlet & Violet เป็นโปเกม่อนอีกภาคที่ทำได้สมกับมาตรฐานความเป็นโปเกม่อน แม้จะมีปัญหาด้านประสิทธิภาพบ้าง แต่เนื่องจากฮาร์ดแวร์มันอายุหลายปีแล้ว เราก็เลยให้อภัยได้ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ก็ตามที่บอกเลย ดีแต่ไม่ถึงกับดีมาก แต่ถามว่าคุ้มไหม คุ้ม
SWITCH- Pokémon Scarlet ราคา 1,690 บาท
SWITCH- Pokémon Violet ราคา 1,690 บาท
SWITCH- Pokémon Scarlet and Violet Double Pack ราคา 3,390 บาท
สำหรับท่านที่สนใจสามารถสั่งซื้อได้ที่
อินบ็อกซ์เพจ: m.me/happyconsole