หนึ่งปีต่อหนึ่ง Call of Duty แม้ว่าปีนี้ Battlefield คู่แข่งตัวหลักจะมาอย่างยิ่งใหญ่ แต่ Call of Duty เองก็ขอมั่นใจในก้าวเดินของตัวเองอย่างด้วยการปล่อยภาคใหม่ที่มีชื่อว่า Call of Duty : Vanguard โดยภาคนี้ถึงคิวของ Sledgehammer Game ที่เป็นผู้รับหน้าที่ในการพัฒนาเป็นทีมหลัก
ย้อนอดีตสู่สงครามโลก
Call of Duty: Vanguard นำเสนอเรื่องราวของสงครามโลก แต่เป็นการนำเสนอแบบหลากหลายสถานที่ หลากหลายเหตุการณ์ไปพร้อม ๆ กัน และไม่ได้เรียงตามลำดับเวลาอีกด้วย โดยเหตุการณ์ในเกมภาคนี้จะเริ่มตั้งแต่ช่วงปี 1941 เป็นต้นไป ตัวละครแต่ละตัวจะเหมือนกับมีสตอรี่เป็นของตัวเอง จากนั้นรวบมาเจอกันในตอนจบ และสำหรับแคมเปญของ Call of Duty ในภาคนี้ก็ถือว่าทำออกมาได้น่าสนใจเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากคุณชอบธีมสงครามโลกแล้วยิ่งทำให้อินได้ไม่ยากความเจ๋งของเกมนี้คือการนำเอาระบบบางส่วนของ Call of Duty Modern Warfare เมื่อปี 2019 กลับมาประยุกต์ใช้อีกครั้ง เช่น การ Blind Fire หรือยิงโดยไม่เล็งจากหลังที่กำบัง สามารถ Mount หรือวางอาวุธไว้บนขอบกำแพง เพื่อให้การยิงนิ่งขึ้นอย่างมาก และยิ่งกว่านั้นคือระบบการทำลายล้างวัตถุ เช่นกำแพงที่เป็นไม้ จะสามารถยิงทิ้ง หรือวิ่งทะลุไปเลยได้ ส่งผลให้เกิดเทคนิค และรูปแบบการเล่นใหม่ ๆรวมโหมดคุณภาพ คนเดียวก็ได้ หลายคนก็มันส์
และสำหรับ Call of Duty แล้ว นอกเหนือไปจากโหมดแคมเปญ สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญที่แฟน ๆ ทุกคนชื่นชอบ คือโหมด Multiplayer ที่ในภาคนี้ยังคงจัดเต็ม และอัดแน่นไปด้วยคอนเทนต์ที่เรียกได้ว่าคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ ถ้าคุณชอบเกมการเล่น Multiplayer ณ ปัจจุบันตอนนี้ Call of Duty: Vanguard มีแผนที่ทั้งหมดกว่า 20 แผนที่ โดย 16 แผนที่แรกจะเป็นแผนที่สำหรับโหมดเกมหลักที่เราเคยเล่นกัน และอีก 4 แผนที่จะเป็นการมาพร้อมกับโหมดเกมใหม่ในภาคนี้ อย่างโหมด Champion Hill โดยเป็นการหยิบเอาโหมด 2vs2 Gunfight โหมดยอดฮิตจากภาค Modern Warfare 2019 มาต่อยอดเช่นกัน แต่เพิ่มรูปแบบการเล่นให้รองรับทั้งแบบ 1v1 2v2 และ 3v3 เป้าหมายหลักของโหมดนี้ก็คือเอาตัวรอดให้นานที่สุด และอยู่รอดเป็นคนสุดท้าย ฟีเจอร์ใหม่อีกอย่างในภาคนี้คือระบบ Combat Pacing ที่เป็นระบบช่วยให้ผู้เล่นสามารถจัดการตั้งค่าการหาห้องหรือ Matchmaking ของเกมได้ดีขึ้น ผู้เล่นจะสามารถเลือกได้เลยก่อนหาห้องเล่นได้ว่าอยากจะเล่นโหมดแบบไหน แม้ว่าอาจจะทำให้หาห้องนานขึ้นนิดหน่อย แต่จะได้เล่นบทบาทที่ตัวเองต้องการอย่างแน่นอน และประสบการณ์โหมดสุดคลาสสิกของเกม Call of Duty นั้นก็ยังคงกลับมา นั่นคือโหมด Tatical 6vs6 โหมด Assault ที่จะได้ต่อสู้กันในสนามรบที่ใหญ่ขึ้นอย่าง 10vs10 ไปจนถึง 12vs12 โหมด Blitz ที่จะเป็นประสบการณ์ขนาดใหญ่ ด้วยสนามรบ 24vs24 ที่มีความคล้ายคลึงกับโหมด Ground War ในภาค Modern Warfare ที่ขาดไม่ได้สำหรับ Call of Duty เรียกได้ว่ามีบางคนที่ยอมซื้อเพราะโหมดนี้เลย นั่นคือโหมดซอมบี้ โหมดที่เราจะสามารถฉายเดี่ยว หรือ Co-op กับเพื่อนสุดดุเดือด เผชิญหน้ากับฝูงซอมบี้ยึดโลก โหมดนี้จะได้ Treyarch กลับมาร่วมพัฒนาด้วย และยังมีเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับภาค Black Ops Cold War โดยโหมดซอมบี้ปีนี้จะมาพร้อมโหมดเกมใหม่ที่ชื่อ Der Anfang ที่เป็นการผสมผสานเกมการเล่นแบบเอาตัวรอดแบบเป็นรอบ ๆ เข้ากับรูปแบบเกมแนว Outbreak และ Onslaught ที่ Call of Duty เคยทำมาก่อนหน้า และเรายังสามารถเก็บเงินมาอัพเกรด ปลดล็อค Perk และฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้เราเก่งขึ้นได้อีกด้วยหมดปัญหาการโกง ด้วยเทคโนโลยีล่าสุด

สำหรับคนที่เป็นห่วงเรื่องโปรแกรมโกงที่เป็นศัตรูของเกมแนว Multiplayer มาตลอดแทบจะทุกเกม มาใน Call of Duty: Vanguard นี้ ทาง Acitivision ก็มาพร้อมกับระบบป้องกันการโกงเกมตัวใหม่ที่มีชื่อว่า Ricochet ที่สามารถป้องกันการโกงได้ในระดับเคอร์เนล ที่จะมาช่วยเพิ่มการป้องกันและเพิ่มประสิทธิภาพของตัวเกมให้มากยิ่งขึ้น โดยยังใช้ควบคู่กันไปทั้งกับ Call of Duty: Vanguard และ Call of Duty Warzone ที่เป็นเกมเล่นฟรีด้วยแม้ว่าแฟน ๆ อาจจะสนใจ Battlefield กันมากกว่า แต่สำหรับคนที่เป็นแฟน Call of Duty ต้องบอกว่าการเลือกตามทางเดินของตัวเอง และเลือกการนำเสนอในมุมมองสงครามโลกที่หลากหลายนี้ ก็ยังมีแรงดึงดูดพอที่จะให้กลับมาเล่น ในขณะที่โหมด Multiplayer ที่เป็นหัวใจหลักของ Call of Duty เองก็ทออกมาได้ดี เพราะการดึงเอาระบบหลาย ๆ อย่างจากเกมภาคเก่ากลับมาใช้งาน และต่อยอดอีกครั้งจนดียิ่งขึ้น
สัมผัสประสบการณ์สงครามโลกในหลากหลายมุมมองด้วยเนื้อเรื่องคุณภาพเข้ม และโหมด Multiplayer สุดเจ๋งได้ใน Call of Duty : Vanguard ใครที่สนใจสั่งซื้อ สามารถทัก Inbox เข้ามาได้เลยจ้า
ราคา
PlayStation 5 - Call of Duty : Vanguard ราคา 1,990 บาท
PlayStation 4 - Call of Duty : Vanguard ราคา 2,290 บาท
สำหรับท่านที่สนใจสามารถสั่งซื้อได้ที่
อินบ็อกซ์เพจ: m.me/happyconsole